ระหว่างวันที่ 12-19 เมษายน 2551 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้ร่วมมือกับศาลาว่าการเมืองแอนท์เวิร์ป และศาลาว่าการ
กรุงบรัสเซลส์ รวมทั้งหน่วยงานไทย ทั้งภาครัฐและเอกชน จัดงานเทศกาลเฉลิมฉลองการครบรอบ 140 ปีความสัมพันธ์ไทย-เบลเยียม
ตามลำดับดังนี้
เทศกาลปีใหม่ไทยในเมืองแอนท์เวิร์ป สอท. ได้ร่วมกับศาลาว่าการเมืองแอนท์เวิร์ปจัดงานเทศกาลปีใหม่ไทย หรือ งานสงกรานต์ เป็นเวลา 2 วัน ระหว่างวันที่ 12-13 เม.ย. 51 ณ จตุรัส Groenplaats ใจกลางเมืองแอนท์เวิร์ป โ ดยได้รับความร่วมมือและสนับสนุนอย่างแข็งขันจากทีมประเทศไทย ได้แก่ สนง. พณ. เกษตรฯ วิทยาศาสตร์ฯ ศุลกากร ททท. กรุงปารีส ผู้แทนททท. กรุงบรัสเซลส์ การบินไทย กสญ. กิตติมศักดิ์ไทยประจำเมืองแอนท์เวิร์ป สมาคมไทยเบล วัดและชุมชนชาวไทยในเบลเยียม ทำให้การจัดเทศกาลปีใหม่ไทย ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองแอนท์เวิร์ปประสบผลสำเร็จอย่างสูง เหนือความคาดหมายของคณะผู้จัดงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เฝ้าสังเกตการณ์ประเมินว่ามีผู้เข้าร่วมงานตลอดเวลา 2 วันรวมทั้งสิ้นประมาณ 70,000 คน ซึ่งนับว่ามีจำนวนมากกว่างานด้านวัฒนธรรมซึ่งเป็นเทศกาลประจำปีของเมือง แอนท์เวิร์ป
พิธีเปิดงาน เริ่มขึ้นเวลา 11.30 น. ท่ามกลางแขกรับเชิญที่เข้าร่วมงานเลี้ยงรับรอง และประชาชนจำนวนมากที่มารอชมการแสดงด้านหน้าเวที ทุกคนพากันประหลาดใจเมื่อมีรถตุ๊กๆ ขับโดยชาวเบลเยียมนำผู้โดยสาร 3 คนฝ่าฝูงชนเข้ามาในงาน เมื่อเห็น ออท. นาย Philippe Heylen รองนายกเทศมนตรีเมืองแอนท์เวิร์ป และนาย Timmerman กสญ. กิตติมศักด์ของไทยประจำเมืองแอนท์เวิร์ป ก้าวลงจากรถตุ๊กๆ จึงได้ปรบมือต้อนรับ และยืนฟังออท. และนาย Heylen ขึ้นเวทีกล่าวคำปราศรัยถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงาน เชิญชวนให้ชาวเบลเยียมและชาวไทยมาร่วมงานเทศกาลปีใหม่ไทย พร้อมทั้งขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนในการจัดงานทุกฝ่าย หลังจากนั้น ขบวนกลองยาวของคณะโขนมูลนิธิศาลาเฉลิมกรุงสมทบด้วยเยาวชนและชุมชนไทยใน เบลเยียมได้ร่ายรำและแห่อัญเชิญพระพุทธโสธร ขึ้นไปประดิษฐานบนศาลาร่วมกับองค์พระแก้วมรกต ซึ่งมีประชาชนชาวไทยและชาวเบลเยียมจำนวนมากหมุนเวียนกันกราบสักการะและสรง น้ำพระตามประเพณีสงกรานต์อย่างเนืองแน่นตลอดทั้ง 2 วัน
การออกร้านจำหน่ายอาหาร ของว่าง ขนม และสินค้าหัตถกรรมไทย จำนวนกว่า 50 บูธ ทุกบูธได้ตกแต่งอย่างสวยงามแบบไทย และอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของบรรยากาศสงกรานต์ โดยเฉพาะบูธททท. มีหญิงสาวแต่งชุดไทย 2 คนนั่งสาธิตการร้อยมาลัยสามารถดึงดูดความสนใจของผู้เข้าร่วมงานอย่างแน่น ขนัดและเป็นบูธที่ได้รับการถ่ายภาพมากที่สุด บูธสาธิตการแกะสลักผักผลไม้ นวดแผนไทย และสปามีผู้รอเข้าคิวรับบริการตลอดเวลา ขณะที่ร้านอาหาร ขนม และสินค้าไทย ส่วนใหญ่ขายดีและหมดก่อนเวลาเลิกงาน แม้ว่าจะเตรียมสินค้าไว้เป็นจำนวนมากเพื่อให้เพียงพอต่อการขายทั้ง 2 วันก็ตาม บางร้านต้องปิดร้านในวันแรกหรือขอให้ผู้อื่นมาขายแทน เพราะของที่เตรียมมาหมด ร้านอาหารทุกร้านต่างก็พูดว่าขายดีมากและมีกำไรสูง ทั้งๆ ที่ราคาอาหารขายเพียงจานละ 5 ยูโร ซึ่งนับว่าถูกมากตามมาตรฐานท้องถิ่น ส่วนร้านที่ไม่ได้เข้าร่วมงานครั้งนี้ เนื่องจากทางเมืองแอนท์เวิร์ปจำกัดจำนวนร้านอาหารให้มีเพียง 20 % ของจำนวนบูธทั้งหมดต่างก็เสียดายที่พลาดโอกาส และได้แสดงความจำนงจะเข้าร่วมงานของสอท. ในครั้งต่อไป
การแสดงโขนชุดเล็กและนาฏศิลป์ไทยบนเวทีกลางแจ้ง นอกจากศาลาประดิษฐานพระพุทธรูปซึ่งตกแต่งประดับด้วยบายศรีและพานพุ่มอย่าง สวยงาม เป็นไฮไลท์ของงานแล้ว เวทีการแสดงฉากหลังเป็นรูปพระบรมมหาราชวัง เขียนภาษาอังกฤษว่า In the Celebration of 140 years of Bilateral Relations between the Kingdom of Belgium and the Kingdom of Thailand ก็สามารถเรียกความสนใจจากฝูงชนให้ขึ้นไปสักการะและสรงน้ำพระได้อย่างแน่น ขนัดตลอดเวลาทั้ง 2 วัน การแสดงทุกชุดได้รับการชื่นชมจากประชาชนนับหมื่น เห็นได้จากการปรบมือให้กำลังนักแสดง และมีการบันทึกภาพกันตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็น ช่างภาพสถานีโทรทัศน์เมืองแอนท์เวิร์ป ช่างภาพสมัครเล่น และผู้ชมทั่วๆ ไป ต่างก็ตั้งใจถ่ายภาพการแสดงที่สวยงามเก็บไว้เป็นระยะๆ โดยเฉพาะการแสดงโขนชุด พระรามตามกวาง และหนุมานจับนางสุพรรณมัจฉาสามารถดึงดูดฝูงชนให้มารวมตัวหน้าเวทีอย่าง เนืองแน่น รวมทั้งการแสดงศิลปะป้องกันตัว การรำเซิ้ง และรำสี่ภาค สลับกับการแสดงนาฏศิลป์ของเยาวชนและชุมชนไทยในเบลเยียมบนเวที ส่วนด้านล่างขบวนแห่กลองยาว และเซิ้งบ้องไฟได้ขับร้องและร่ายรำไปรอบๆ บริเวณงานสร้างความสนุกสนานและบันเทิงให้กับผู้เข้าร่วมงานเป็นระยะๆ ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามางานอย่างไม่ขาดสาย จนบริเวณพื้นที่จตุรัส Groenplaats ประมาณ 10,000 ตารางเมตร ดูเล็กลงไปถนัดตา หลายคนพูดว่าเพิ่งเคยมางานของไทยเป็นครั้งแรกและเห็นว่าจัดงานได้ดีกว่าจีน และเวียดนาม และแม้แต่งานประจำปีของท้องถิ่นก็ยังจัดไม่ยิ่งใหญ่เท่านี้ และมีคนเข้าร่วมงานน้อยกว่านี้ จึงขอให้สอท. จัดงานขึ้นอีกในปีต่อไป
การแสดงโขนคณะมูลนิธิศาลาเฉลิมกรุงชุด ?หนุมานชาญกำแหง? เมื่อคืนวันที่ 17 เม.ย. 51 สอท.ได้จัดการแสดงโขนที่โรงละครโอเปร่า เมืองแอนท์เวิร์ป โดยใช้นักแสดงและนักดนตรีไทยเต็มคณะจำนวน 60 คนโดยมีนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงฯ ในฐานะผู้แทนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เป็นประธานกล่าวเปิด งานร่วมกับนาย Philippe Heylen รองนายกเทศมนตรีฯ ท่าม กลางแขกผู้มีเกียรติภาครัฐและเอกชนของเบลเยียม คณะทูตานุทูต สส. ข้าราชการ EU อดีตนักการเมือง สื่อมวลชน รวมทั้งชาวเบลเยียมและชาวไทยจำนวนเกือบพันคน เต็มโรงละครโอเปร่า (เหลือที่นั่งเฉพาะชั้นซึ่งสูงมาก) การแสดงโขนชุดหนุมานชาญกำแหงทั้ง 8 ฉาก มีความงดงามแตกต่างกันไป โดยเฉพาะฉาก ?สีดาผูกคอ? ซึ่งมีการขับเสภาที่เศร้าสร้อยจนผู้ชมถึงกับหลั่งน้ำตา และฉาก ?สนามรบ? ที่แสดงถึงความอลังการและงดงามตามแบบฉบับของโขน ผสมผสานกับเทคนิคด้านแสง-เสียง และการปล่อยควันหมอก ตลอดทั้งการดำเนินเรื่องที่กระชับรวดเร็วโดยผู้ชมสามารถเข้าใจเรื่องราวด้วย การอ่าน sub-title ภาษาอังกฤษ สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมอย่างมากและเรียกเสียงปรบมือที่กึกก้องและ ยาวนานกว่าการแสดงนาฏศิลป์ของประเทศอื่นๆ ที่ผ่านมา เมื่อ การแสดงเสร็จสิ้นผู้ชมจำนวนมากยังอยากพูดคุยเกี่ยวกับการแสดงต่อในงานเลี้ยง รับรอง ทำให้บริเวณ corridor ของโรงละครโอเปร่าแน่นขนัดล้นออกมาจนถึงทางลงบันได แสดงให้เห็นถึงความนิยมชมชอบการแสดงของคณะโขนอย่างแท้จริง
การแสดงโขนและการแสดงนาฏศิลป์ ณ จตุรัส Grand Place เพื่อให้งานเฉลิมฉลองครบรอบ 140 ปีความสัมพันธ์ไทย-เบลเยียม เกิดผลในวงกว้างและมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น สอท. จึงได้ร่วมกับศาลาว่าการกรุงบรัสเซลส์ จัดการแสดงโขนและ นาฏศิลป์ในวันที่ 19 เม.ย. 51 ณ จตุรัส Grand Place ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ ระหว่างเวลา 17.00-21.00 น. เริ่มด้วย ออท. และนาย Freddy Thielemansนายกเทศมนตรีกรุงบรัสเซลส์ กล่าวคำปราศรัยในพิธีเปิดและงานเลี้ยงรับรอง ณ ห้อง Wedding บนศาลาว่าการฯ และได้เชิญชวนให้แขกผู้มีเกียรติชมการแสดงโขนและการแสดงนาฏศิลป์จากบนเฉลียง ของศาลาว่าการฯ โดยมีผู้ชมจำนวนมากยืนชมด้านหน้าเวทีการแสดง การแสดงชุดแรก คือ ชุดทัศนาวานรซึ่งจัดขึ้นเป็นพิเศษและไม่เคยแสดงที่ใดมาก่อน ตามด้วยชุดยุทธโยธา และชุดถมศิลาข้ามวารี สลับกับการแสดงนาฏศิลป์พื้นบ้าน การรำสี่ภาค และการแสดงดนตรีไทย สร้างความบันเทิงและความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมส่วนใหญ่ซึ่งเป็นนักท่อง เที่ยวต่างชาติที่มาเยือนจตุรัส Grand Place ในคืนวันนั้นได้อย่างดียิ่ง