ในปี 2564 International Institute for Management Development (IMD) ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของเขตเศรษฐกิจทั่วโลก จำนวน 63 ประเทศ และ 1 เขตเศรษฐกิจ โดยใช้เกณฑ์ชี้วัดในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันรวมทั้งสิ้น 334 ตัวชี้วัด ประกอบด้วย 1) สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) 2) ประสิทธิภาพภาครัฐ (Government efficiency) 3) ประสิทธิภาพภาคธุรกิจ (Business Efficiency) และ 4) โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)
ผลการจัดอันดับของ IMD ประจำปี 2564 ประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 28 จากจำนวน 64 ประเทศ ดีขึ้น 1 อันดับจากปี 2563 คะแนนดีขึ้นจากปัจจัยดังนี้
- ปัจจัยหลักด้านประสิทธิภาพภาครัฐ (Government Efficiency) อันดับดีขึ้น 3 อันดับ จากอันดับที่ 23 ในปีก่อนหน้า มาอยู่ที่อันดับ 20 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นสูงที่สุดในรอบ 10 ปี ความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐปรับตัวดีขึ้นถึง 4 อันดับ ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล ปรับปรุงระบบราชการให้เอื้อต่อการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ การมีเสถียรภาพและวินัยการคลังของประเทศ สามารถควบคุมระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ภายใต้กรอบความยืนยันทางการคลัง
- ประสิทธิภาพภาคธุรกิจ (Business Efficiency) มีอันดับดีขึ้น 2 อันดับจากอันดับที่ 23 เป็นอันดับที่ 21 ตลาดแรงงาน (Labour Market) ที่ปรับตัวดีขึ้น 5 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 10 โดยเป็นผลจากขยายตัวของอัตรากำลังแรงงาน และอัตรากำลังแรงงานในระยะยาว ที่มีอันดับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงนโยบายของประเทศที่สนับสนุนการพัฒนาบุคลากรให้เข้าสู่กำลังแรงงาน และสามารถอยู่ในตลาดแรงงานได้ การปรับตัวดีขึ้นของความสามารถในการปรับตัวให้เท่าทันมาตรฐานสากลทั้งจากผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย นโยบายสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมของภาครัฐ และการส่งเสริมทักษะด้านการใช้เทคโนโลยีและดิจิทัล
- ปัจจัยหลักด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) มีอันดับดีขึ้น 1 อันดับจากอันดับที่ 44 เป็นอันดับที่ 43 จากการพัฒนาให้ประชากรเข้าถึงน้ำ ถนน และไฟฟ้ามากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มเส้นทางการคมนาคมผ่านการลงทุนสร้างถนนและการขยายการให้บริการน้ำประปาอย่างทั่วถึงตามนโยบายรัฐบาล ให้ความสำคัญในการลงทุนด้านเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายในระบบ 5G
